ท่าบริหารลดอาการปวดสะโพก
ปัจจุบันอาการ ปวดสะโพก เป็นเรื่องที่กระทบกับชีวิตประจำวันมาก ไม่ว่าจะนั่ง ยืน เดิน ล้วนแล้วแต่ต้องใช้ข้อต่อสะโพก และกล้ามเนื้อบริเวณสะโพกทั้งสิ้น เหตุนี้เองระยะเวลาในการรักษาอาการปวดสะโพกจึงใช้ระยะเวลายาวนานกว่าบางโรค ผู้ป่วยน้อยคนที่จะหายสนิทจากอาการปวดสะโพกนี้ หลังจากรักษาด้วยการรับประทานยาแก้ปวด คลายกล้ามเนื้อ อาการก็ทุเลาลงเล็กน้อยพอให้ใช้งานได้ในแต่ละวัน แต่พอหมดฤทธิ์ยาอาการก็จะกลับมาไม่มากก็น้อย เหตุนี้เองการบริหารกล้ามเนื้อ และข้อต่อกระดูกสะโพกให้แข็งแรงอยู่เสมอจึงจะช่วยให้เราห่างไกลจากอาการ ปวดสะโพก
สาเหตุที่พบบ่อยของการ ปวดสะโพก
1.การใช้งานเกินกำลัง เช่น ยกของหนัก ออกกำลังกายเกินกำลัง
2.การใช้งานในอิริยาบถเดิมนาน ๆ เช่น นั่งนาน ยืนนาน เดินนาน
3.การใช้งานในอิริยาบถที่ไม่ถูกต้อง เช่น นั่งไหลๆ เอนๆ กึ่งนั่งกึ่งนอน นั่งหมิ่นเก้าอี้ ยืนทิ้งน้ำหนักขาข้างเดียว
4.อุบัติเหตุ เช่นการหกล้มก้นกระแทก เข่ากระแทก อุบัติเหตุจากรถยนต์ รถจักรยานยนต์
5.ความเสื่อมของร่างกาย เช่น ข้อสะโพกเสื่อม กระดูกสันหลังเสื่อม และทรุด
การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ลดอาการ ปวดสะโพก
การออกกำลังกาย 2 ท่าแรกเป็นการยืดกล้ามเนื้อรอบข้อสะโพกซึ่งสามารถช่วยลดความตึงตัว และทำให้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น การออกกำลังกายจะให้ความรู้สึกตึง เจ็บในระดับที่ทนได้ อาจจะทำการประคบอุ่นก่อนการยืดกล้ามเนื้อ ประมาณ 15 – 30 นาที การยืดกล้ามเนื้อในแต่ละท่าทำ 1-2 ครั้งต่อวัน 3 วันต่อสัปดาห์
ท่าที่ 1
นอนหงายเหยียดขาทั้งสองข้างราบไปกับพื้นเหยียดขาซ้ายตรง ดึงเข่าขวาขึ้นไปที่หน้าอก วางมือทั้งสองบนข้อพับหลังเข่าเพื่อช่วยดึงเข้าหาหน้าอกกดค้างไว้ 10 วินาทีปล่อยเข่าแล้วค่อย ๆ ลดขากลับไปที่พื้นทำซ้ำ 5-10 ครั้งที่เข่าแต่ละข้าง
ท่า 2
นอนราบจากนั้นชันเข่าขึ้นวางเท้าราบกับพื้นค่อยๆ หมุนเข่าไปทางซ้าย แล้วลดเข่าลงไปที่พื้น หมุนศีรษะไปทางขวาโดยให้ไหล่แนบกับพื้นตลอดเวลา ค้าง 10 วินาที ค่อยๆ กลับหัวและเข่าไปยังตำแหน่งเริ่มต้นทำซ้ำในด้านตรงข้าม
ปวดสะโพก? มาการออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงกัน
การออกกำลังกาย 3 ท่าต่อไปเป็นการออกกำลังกายเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อรอบข้อสะโพกซึ่งสามารถทำให้กล้ามเนื้อรอบข้อสะโพกแข็งแรงลดอาการบาดเจ็บได้ การออกกำลังกายในแต่ละท่าทำ 1-2 ครั้งต่อวัน 3 วันต่อสัปดาห์
ท่าที่ 3
ยืนตัวตรง ใช้แขนอีกข้างจับเก้าอี้ หรือโต๊ะ เพื่อป้องกันการล้ม หลังจากนั้นค่อยๆ ยกเข่าขวาขึ้นระดับสะโพก ขาซ้ายเหยียดตรง ค้าง 10 วินาที แล้วกลับมาที่ตำแหน่งเดิม ทำซ้ำ 10 -20 ครั้ง แล้วสลับข้าง
ท่าที่ 4
ยืนตัวตรง แยกขากว้างเท่าไหล่ ใช้แขนอีกข้างจับเก้าอี้ หรือโต๊ะ เพื่อป้องกันการล้ม ยืนด้วยขาขวา ยกขาซ้ายไปข้างหลังโดยไม่งอเข่า ค้างไว้ 10 วินาที ทำ 10 -20 ครั้ง แล้วสลับข้าง
ท่าที่ 5
นอนหงายชันเข่าสองข้างวางเท้าราบกับพื้น วางแขนไว้ข้างลำตัวโดยให้ฝ่ามือคว่ำลง ค่อยๆ ยกกระดูกเชิงกรานขึ้นด้านบน ให้ไหล่และลำตัวส่วนบนอยู่บนพื้น ค้าง 10 วินาทีทำซ้ำ 10 -20 ครั้ง
การออกกำลังกายยืดเหยียดกล้ามเนื้อและเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อข้อสะโพก เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดอาการปวดได้ ปัจจัยสำคัญควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมหรือท่าการออกกำลังกายที่ส่งผลให้มีอาการปวด หากมีอาการปวดเพิ่มมากขึ้น ควรปรึกษานักกายภาพบำบัด หรือแพทย์เพิ่มเติม เพื่อวินิจฉัย และปรับเปลี่ยนการรักษาต่อไป
เอกสารอ้างอิง
- โรงเรียนอายุรเวทธำรง สถานการแพทย์แผนไทยประยุกต์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล. กายบริหารแบบฤๅษีดัดตน. 2 เล่ม. กรุงเทพฯ: ศุภวนิชการพิมพ์; 2554.
- Medically reviewed by Gregory Minnis, DPT, Physical Therapy — Written by Charlotte Lillis on April 25, 2019
Exercises to reduce hip pain
Nowadays, hip pain is a problem that affects daily life a lot, whether sitting, standing, walking, all of which have to use the hip joint. and all the muscles around the hip For this reason, the treatment time for hip pain is longer than for some diseases. Few patients recover completely from this hip pain. After treatment with painkillers muscle relaxant The symptoms have subsided slightly enough to be able to use each day. But when the drug is ineffective, the symptoms will return more or less. For this reason, muscle management And the hip joints are always strong, thus helping us to stay away from hip pain.
Common causes of hip pain
Excessive use, such as lifting heavy objects, exercising in excess
2. Use in the same posture for a long time, such as sitting for a long time, standing for a long time, walking for a long time
3. Using in the wrong posture, such as squatting, half-sitting, half-sleeping sitting in the chair Standing with weight on one leg
4. Accidents such as falls, butt bumps, knee bumps, car accidents motorcycle
5. Deterioration of the body such as hip joint degeneration Spine deteriorates and collapses
exercise