โรคพาร์กินสัน มีแค่อาการ สั่น จริงหรือไม่

โรคพาร์กินสัน มีแค่อาการ สั่น จริงหรือไม่

เมื่อเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยเป็นธรรมดาที่โรคภัยไข้เจ็บจะมาเยือนอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก อาการ สั่น จากพาร์กินสันเป็นอีกหนึ่งในโรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ มาเริ่มทำความรู้จักและทำความเข้าใจเกี่ยวกับพาร์กินสันไปพร้อมๆกัน

โรคพาร์กินสัน(Parkinson’s disease) เป็นความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง เนื่องจากการเสื่อมของเซลล์ประสาทบริเวณก้านสมอง (substantia nigra) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ basal ganglion โดยหน้าที่หลักของ substantia nigra คือการสร้างสารโดปามีน (dopaminergic neurotransmitter) และส่งใยประสาท (nigrostiatal fiber) เพื่อทำการหลั่งสารโดปามีน(dopamine) จากการเสื่อมทำให้ปริมาณของ dopamine ลดน้อยลง ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการแสดงต่างๆ ซึ่งแสดงออกทั้งทางการเคลื่อนไหว (motor manifestation) และอาการแสดงอื่นๆ (non-motor manifestation)

  • อาการทางด้านการเคลื่อนไหว เช่น การเคลื่อนไหวที่ช้า (bradykinesia), การไม่สามารถจะเริ่มต้นการเคลื่อนไหวได้ (akinesia), การเกร็งของกล้ามเนื้อ (rigidity) และการเกิดการสั่นที่รยางค์ (tremor) เป็นต้น • อาการแสดงอื่นๆ(non-motor manifestation) เช่น ปัญหาด้านความคิด ความจำ (cognitive impairment), การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ (mood abnormality) และความผิดปกติของการนอน (sleep abnormality) โดยอาการต่างๆส่งผลให้ผู้ป่วยมีการจำกัดในการทำกิจกรรมต่างๆเข้าสู่สังคมของผู้ป่วย

ลักษณะสำคัญที่พบบ่อยในผู้ป่วยพาร์กินสัน

โดยทั่วไปอาการจะแสดงออกมากหรือน้อยแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ ด้าน เช่น อายุ ระยะเวลาของการเป็นโรค และภาวะแทรกซ้อน แต่จะมีอาการที่เห็นได้ชัดอยู่ 4 ประการ ดังนี้

  1. อาการสั่น (Resting tremor) มักพบเป็นอาการเริ่มต้น โดยเฉพาะเวลาที่อยู่นิ่งๆ แต่เมื่อเคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรมอาการจะลดลง หรือหายไป โดยมากจะพบอาการที่มือและเท้า
  2. อาการเกร็งของกล้ามเนื้อ (Rigidity) โดยเฉพาะบริเวณแขน ขา และลำตัว
  3. เคลื่อนไหวได้ช้าลง (Bradykinesia) ผู้ป่วยจะขาดความกระฉับกระเฉง โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้นเคลื่อนไหว
  4. การทรงตัวที่ไม่สมดุล (Postural instability)

การดำเนินโรคของผู้ป่วย

ในปีแรกของการวินิจฉัยว่าเป็นโรคพาร์กินสันแสดงอาการที่ร่างกายชีกใดซีกหนึ่ง ในระยะเวลา 3 ปี ผู้ป่วยจะแสดงอาการทั้ง 2 ด้านของร่างกาย ในระยะเวลา 3-5 ปีผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมการทรงตัว และในระยะเวลา 10 ปี ผู้ป่วยจะเริ่มเกิดการล้ม

ในปี ค.ศ.1967 Hoehn และ Yahr ได้ทำการแบ่งคนไข้พาร์กินสันออกเป็นระดับๆ ตามความรุนแรง

ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนระดับของ Hoehn และ Yahr (Modified Hoehn และ Yahr) โดย

เพิ่มความละเอียดของความรุนแรงของโรคอีก 2 ระดับดังนี้

 

ระดับ อาการ
ระดับที่ 1 มีความผิดปกติของการเคลื่อนไหวร่างกายเพียงเล็กน้อยที่แขน ขา เพียงซีกใดซีกหนึ่ง
ระดับที่ 1.5 มีความผิดปกติของการเคลื่อนไหวร่างกายเพียงเล็กน้อยที่แขน ขา เพียงชีกใดชีกหนึ่ง

รวมถึงความผิดปกติของกล้ามเนื้อลำตัว

ระดับที่ 2 มีความผิดปกติของการเคลื่อนไหวร่างกายเพียงเล็กน้อยที่แขน ขา ทั้งสองข้าง แต่ยังไม่

สูญเสียการทรงตัว

ระดับที่ 2.5 มีความผิดปกติของการเคลื่อนไหวร่างกายเพียงเล็กน้อยที่แขน ขา ทั้งสองข้าง แต่ยัง

สามารถรักษาการทรงตัวได้ หากทดสอบด้วย Pull test

ระดับที่ 3 มีความผิดปกติของการเคลื่อนไหวร่างกายปานกลางที่แขน ขา ทั้งสองข้าง ร่วมกับความ

ผิดปกติของการควบคุมการทรงตัว

ระดับที่ 4 มีความผิดปกติของการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างมากและต้องได้รับความช่วยเหลือ

พอสมควร

ระดับที่ 5 มีความผิดปกติของการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างมาก และมีการใช้ชีวิตอยู่บนเตียงหรือบน

รถเข็น

 

การจัดการทางกายภาพบำบัด

บทบาทนักกายภาพบำบัดในการดูแลผู้ป่วยพาร์กินสัน

  1. ประเมินความสามารถในการทำกิจกรรม ประเมินระยะของโรค และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจะเกิดขึ้น
  2. ลดอาการปวดและการตึงตัวของกล้ามเนื้อ ยืดกล้ามเนื้อเพื่อป้องกันกล้ามเนื้อหดรั้ง
  3. พัฒนาการทำงานของปอดและหัวใจ เช่น การสอนหายใจ, โปรแกรมการออกกำลังกาย
  4. ออกกำลังกายกล้ามเนื้อ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความทนทาน
  5. ฝึกการทรงตัวและการเดิน จากเนื้อหาที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่าโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) ไม่ได้มีแค่อาการสั่นอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีอาการหลักๆ 4 ประการด้วยกัน คือ อาการสั่น (Resting tremor), อาการเกร็งของกล้ามเนื้อ (Rigidity), เคลื่อนไหวได้ช้าลง (Bradykinesia), และการทรงตัวที่ไม่สมดุล (Postural instability)

ซึ่งหลายคนคงยังสงสัยว่า พาร์กินสันป้องกันได้หรือไม่ เนื่องจากสาเหตุการเกิดโรคทางการแพทย์ยังไม่สามารถทราบชัดเจน แต่มีการสันนิษฐานว่าเกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ซึ่งเราสามารถหลีกเลี่ยงได้เพื่อชะลอความเสื่อมของเซลล์สมอง ดังนั้นเราควรลดปัจจัยเสี่ยงด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ การพักผ่อนให้เพียงพอ การผ่อนคลายเครียด หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้สิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ หมั่นสังเกตตนเองหรือคนในครอบครัวว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่ หากไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมีอาการบางอย่างที่คล้ายโรคพาร์กินสัน แต่อาจจะอันตรายมากกว่าพาร์กินสันจะได้รักษาได้ทันท่วงที

เอกสารอ้างอิง
1. Hoehn MM, Yahr MD. Parkinsonism: onset, progression, and mortality. Neurology. 1967; 17(5):427.

  1. Keus SHJ, Hendriks, H.J.M, Bloem, B.R., Bredero-Cohen, A.B., de Goede, C.J.T., van Haaren, M. et al. KNGF Guidelines for physical therapy in patients with Parkinson’s disease. Dutch J Phys Ther. 2014; 114(3).

 

  1. Martinez-Martin P, Chaudhuri KR, Rojo-Abuin JM, Rodriguez-Blazquez C, Alvarez-Sanchez M, Arakaki T, et al. Assessing the non-motor symptoms of Parkinson’s disease: MDS-UPDRS and NMS Scale. European Journal of Neurology. 2015; 22(1):37-43.

อ่านบทความเพิ่มเติมที่นี่

FACEBOOK :: ReBRAIN

Scroll to Top