ทำอย่างไรดี… เมื่อข้อเข่าเสื่อม

หากเรารู้แล้วว่าเราเริ่มมีอาการ ข้อเข่าเสื่อม สามารถดูและและชะลอความเสื่อมได้ดังนี้
1.การดูแลตัวเอง

- คุมน้ำหนักจากอาหารการกิน ควรหลีกเลี่ยงของทอด ของมัน ของหวาน ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ถ้าหากเรากินมากและอ้วนเกินไป จะทำให้เข่าเรารับน้ำหนักตัวและแรงกระแทกที่มากขึ้นตามขนาดตัวของเราไม่ไหวและทำให้เข่าเสื่อมเร็วก่อนวัยอันควรได้

- ปรับเปลี่ยนอิริยาบท
– ท่านั่ง ไม่ควรนั่งยอง ๆ นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ เพื่อไม่ให้เข่ารับแรงกดจากการงอมาก หากต้องการนั่งควรนั่งเก้าอี้ที่มีความสูงปกติคือเวลานั่งเท้าจะต้องไม่ลอยหรือระดับของเข่าจะต้องไม่งอสูงเลยสะโพกขึ้นมา
–ท่ายืน ไม่ควรยืนลงน้ำหนักขาข้างใดข้างหนึ่งแต่ควรกระจายการลงน้ำหนักไปที่ขาทั้ง 2 ข้างให้เท่ากันนอกจากนี้ในระยะการอักเสบควรหลีกเลี่ยงการขึ้น-ลงบันได เพื่อลดแรงกดที่เข่าข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป
–ท่าเดิน หากเดินลงน้ำหนักแล้วปวด สามารถใช้ไม้เท้าช่วยพยุง หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีแรงกระแทกต่อเข่า เพื่อลดน้ำหนักลงเข่าข้างที่เจ็บ และควรปรึกษาแพทย์
2.การรักษาทางการแพทย์
การรักษาโดยการใช้ยาแก้ปวดหรือยาแก้อักเสบ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนและไม่ควรซื้อยามากินเอง ยาที่แพทย์ใช้บรรเทาอาการปวด ได้แก่

- ยาอะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) หรือกลุ่ม พาราเซตามอลเป็นยากลุ่มที่ใช้ลดอาการปวดและอักเสบของข้อ
- ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เป็นยากลุ่มแก้อักเสบที่ไม่ใช่ NSAID และไม่มีสเตอรอยด์มีฤทธิ์ช่วยลดปวดและลดบวมอักเสบของข้อและไม่ควรใช้เป็นเวลานาน และยากลุ่มนี้มีผลทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารได้
- คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids Injections) สามารถช่วยลดการอักเสบและความเจ็บปวดได้ แต่ไม่ควรฉีดเกิน 4 ครั้งเพราะถ้าใช้ยาตัวมากนี้มีผลทำให้เอ็นเปื่อยได้

- กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) กรดไฮยาลูโรนิกเป็นส่วนสำคัญของน้ำในข้อต่อ ซึ่งการฉีดกรดไฮยาลูโรนิกเข้าไปที่เข่าจะช่วยเพิ่มความหล่อลื่นให้กับข้อเข่า
- การรักษาด้วยวิธีการ PRP โดยการนำเลือดออกมาปั่นแล้วสกัดเกล็ดเลือดจากพลาสมาออกเพื่อนำมาฉีดเข้าข้อเข่า เกล็ดเลือดจะไปเร่งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายได้เร็วขึ้น
- การรักษาโดยการผ่าตัด การผ่าตัดแพทย์จะใช้วิธีการประเมินว่าจำเป็นจะต้องผ่าหรือไม่จากการดู x-ray และ ดูอาการผู้ป่วยเป็นหลัก

3.การรักษาทางกายภาพ
นักกายภาพบำบัด ประเมินเพื่อดูอาการ และใช้อุปกรณ์เครื่องมือตามความเหมาะสม ได้แก่
- แผ่นประคบร้อน นำมาใช้ประคบกล้ามเนื้อบริเวณที่มีอาการปวดตึง เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวมากขึ้น อาการปวดจะทุเลาลง

- Ultrasound เครื่องนี้จะนำมาใช้ลดการตึงตัวของกล้ามเนื้อและเร่งกระบวนการซ่อมแซมเอ็นกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่ตึงตัวรวมทั้งยังเร่งสร้างคอลลาเจนด้วย
- Laser เป็นเครื่องมือที่ใช้ในกระบวนการเร่งการซ่อมแซมกล้ามเนื้อเช่นกัน และเร่งสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนของกล้ามเนื้อและเอ็นกล้ามเนื้อร่วมด้วย
- Mobilization เทคนิคการขยับข้อต่อเพื่อเพิ่มองศาการเคลื่อนไหวข้อข้อเข่า ลูกสะบ้า และเป็นการคลายกล้ามเนื้อรอบ ๆ เข่าได้ด้วย

- การออกกำลังกาย ทางเลือกการออกกำลังกายนี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อให้กล้ามเนื้อช่วยพยุงข้อเข่าเราได้และทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถออกกำลังกายหรือทำ กายภาพที่บ้าน ได้ การออกกำลังกายที่แนะนำมีดังนี้
- ออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ โดยการออกกำลังกาย การออกกำลังกายในที่นี้ควรออกแบบเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อรอบ ๆ เข่าเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างกล้ามเนื้อและเข่ามากขึ้น ท่าออกกำลังกายพื้นฐานทั่วไปที่สามารถทำได้มีดังนี้
- นอนหงาย เอาหมอนหนุนใต้เข่าแล้วเกร็งกดเข่าลงหมอนค้างไว้ 10 วินาที
- นั่งเก้าอี้ เตะขาเกร็งเข่าเหยียดตรงค้างไว้ 10 วินาที
- ยืนเกร็งเข่าเหยียดตรง ค้างไว้ 10 วินาที
ทุกท่าให้ทำแบ่งเซต เซตละ 10 ครั้ง ต่อเซต ทำ 2 เซตก่อนเบื้องต้น หากทำแล้วไม่มีอาการปวดเพิ่มค่อย ๆ เพิ่มจำนวนและเพิ่มเซต ไม่ควรออกต่อเนื่องกันเป็นร้อย ๆ ครั้งเพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บของเข่าได้
นอกจากท่าออกกำลังกายที่กล่าวไปแล้ว ยังมีท่าอื่น ๆ ที่เราสามารถทำเพิ่มได้อีกแต่ควรปรึกษานักกายภาพก่อนนะคะ

- การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ การออกกำลังกายแบบนี้เป็นการออกกำลังเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจและยังเพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อได้ อีกทั้งยังทำให้ปอดแข็งแรงขึ้นอีกด้วย ดังนั้นเราควรออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอร่วมด้วย ได้แก่
- ปั่นจักรยาน แต่ควรปรับเบาะจักรยานให้สูงเล็กน้อย เพื่อลดองศาการงอเข่าที่มากเกินไป
- เดินในน้ำ การออกกำลังกายในน้ำ มีประโยชน์มาก เพราะขณะร่างกายอยู่ในน้ำจะมีแรงช่วงพยุงน้ำหนัก ทำให้อาการปวดเข่าน้อยลงไปพอสมควร สามารถออกกำลังกายได้ต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น
กรณีถ้าออกกำลังกายแล้วยิ่งปวดมากขึ้น ควรงดหรือหลีกเลี่ยงท่าที่ทำให้ปวดและปรึกษา นักกายภาพบำบัด นะคะ
ReBRAIN นักกายภาพบำบัด