น้ำมันปลา หรือ น้ำมันตับปลา เหมาะสำหรับผู้ป่วยหลอดเลือดสมองหรือไม่
น้ำมันตับปลา มีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยหลอดเลือดสมองหรือไม่ และผู้ป่วยหลอดเลือดสมองสามารถรับประทานได้หรือไม่ วันนี้ทาง ReBRAIN จะมาเล่าเกี่ยวกับน้ำมันปลาหรือน้ำมันตับปลากันครับว่า น้ำมันที่ทำจากปลาทั้งสองอันนี้ให้ประโยชน์อะไรบ้าง น้ำมันทั้งสองชนิดนี้แตกต่างกันอย่างไร แล้วต้องรับประทานยังไงและเหมาะสำหรับผู้ป่วยหลอดเลือดสมองหรือไม่
น้ำมันปลา (fish oil) เป็นน้ำมันที่สกัดมาจากปลาในส่วนของบริเวณตัวเนื้อปลา หนัง หัวปลา และบริเวณหางปลา โดยจะนิยมใช้ปลาจากทะเลน้ำลึกมาทำเป็นน้ำมันปลา เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาเฮอร์ริ่ง ปลาแมคคอเรล ปลาแซลมอน ปลาทูน่า เป็นต้น ซึ่งตัวของน้ำมันปลามีกรดไขมันที่ร่างกายคนเราไม่สามารถสร้างเองได้ ชนิด Omega-3 ได้แก่ Eicosapentaenoic acid : EPA และ Docosahexaenoic acid : DHA
น้ำมันตับปลา (cod liver oil) เป็นน้ำมันที่สกัดจากตับของปลาทะเล ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ปลาคอดในการทำ ซึ่งจะแตกต่างกับน้ำมันปลาที่จะมีวิตามินเอและดีเสริมเข้ามาด้วย ซึ่งวิตามินเอ จะทำหน้าที่เสริมสร้างป้องกันโรคอาการตาฟาง ตาไม่สู้แสงและทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้นมากขึ้น ในส่วนของวิตามินดี จะช่วยในเรื่องของการดูดซึมแคลเซียมรวมทั้งฟอสฟอรัสบริเวณลำไส้เข้าสู่ร่างกาย ทำให้โครงสร้างกระดูกของร่างกายแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้วิตามินดียังมีส่วนช่วยสำคัญในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายด้วย
โดยในส่วนของ Decosahexanoic acid (DHA) และ Eicosapentanoic acid (EPA) นั้น มีส่วนช่วยในการลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือด มีผลต่อการลดระดับโลหิตในกระแสเลือด
ป้องกันความเสี่ยงในการกลับมาเป็นซ้ำของโรคหลอดเลือดหัวใจ ป้องกันการเกิดหลอดเลือดแดงไปเลี้ยงหัวใจตีบได้ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง ทั้งโรคหลอดเลือดสมองตีบและหลอดเลือดสมองแตก
จากงานวิจัยของ Belayev L. และคณะ ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับผลของสาร Omega-3 ที่มีผลต่อภาวะโรคหลอดเลือดสมองตีบในหนูทดลอง โดยหนูทดลองจะได้รับสารในกลุ่ม Omega-3
( Decosahexanoic acid (DHA) ) ในระยะเวลา 3 ชม. 4 ชม. 5 ชม. และ 6 ชม. หลังจากเกิดภาวะโรคหลอดเลือดสมองในหนูทดลอง พบว่า หลังจากหนูทดลองได้รับสารดังกล่าวประมาณวันที่ 3 สมองได้รับบาดเจ็บจากภาวะโรคหลอดเลือดสมองลดลงไป 40% เมื่อได้สารดังกล่าวในระยะเวลา 3 ชม. หลังจากเกิดโรค ลดลงไปได้ที่ 66% หลังจากเกิดโรค 4 ชม. และลดลงไป 59 % หลังจากเกิดโรค 5 ชม. แต่งานวิจัยดังกล่าวยังทดลองแค่ในสัตว์ทดลองเท่านั้น
สำหรับการรับประทานน้ำมันตับปลาหรือน้ำมันปลา ในคนทั่วไป ควรรับประทานปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง รวมทั้งอาหารอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น น้ำมันถั่วเหลือง เมล็ดธัญญพืช เต้าหู้ เป็นต้น สำหรับปริมาณที่แนะนำคือ รับประทานวันละ 300-500 มิลลิกรัม
การรับประทานน้ำมันตับปลาหรือน้ำมันปลานั้นต้องระมัดระวังการรับประทานในกรณีของผู้ที่มีภาวะเสี่ยงของการเกิดเลือดออก เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่ดื่มสุราเรื้อรัง ผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหาร หรือผู้ที่รับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน หรือ วอร์ฟาริน เป็นต้น เพราะสาร Omega-3 จะมีผลต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือดมีผลทำให้เลือดหยุดไหลช้าลง
สำหรับผู้ป่วยหลอดเลือดสมองนั้น การรับประทานน้ำมันตับปลาหรือน้ำมันปลายังเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง ถ้าจะรับประทานต้องได้รับการปรึกษาจากแพทย์ที่ดูแลท่านก่อน สำหรับคนทั่วไปสามารถรับประทานได้ เพื่อป้องกันภาวะเสี่ยงโรคเกี่ยวกับหัวใจหลอดเลือดและยังสามารถป้องกันโรคหลอดเลือดสมองได้อีกเช่นกัน
Is fish oil or cod liver oil suitable for stroke patients?
Have you ever wondered how many people Are supplements like fish oil or cod liver oil helpful for stroke patients? And patients with cerebrovascular disease can eat or not. Today, ReBRAIN will tell about fish oil or cod liver oil. What are the benefits of these two fish oils? What is the difference between these two oils? How should I eat it and is it suitable for stroke patients?
Fish oil is oil extracted from fish in the body, skin, head and tail of the fish. It is popular to use fish from deep sea to make fish oil, such as sardines, herring, mackerel, salmon, tuna, etc. The body of fish oil contains fatty acids that the human body cannot create by itself. Yes, Omega-3 types include Eicosapentaenoic acid : EPA and Docosahexaenoic acid : DHA.
Cod liver oil is an oil extracted from the liver of marine fish. Most commonly used cod fish in making. This is different from fish oil, which has vitamin A and D added as well. which vitamin A It serves to strengthen the prevention of squint. The eyes do not fight the light and therefore the skin is more hydrated. In regards to vitamin D It will help in the absorption of calcium and phosphorus in the intestines into the body. make the bone structure of the body stronger In addition, vitamin D plays an important role in boosting the immune system.
Decosahexanoic acid (DHA) and Eicosapentanoic acid (EPA) help to reduce triglyceride levels in the bloodstream. Affects the reduction of blood levels in the bloodstream.
Prevent the risk of recurrence of coronary heart disease.
References:
1.Belayev L, Khoutorova L, Atkins KD, Eady TN, Hong S, Lu Y, et al. Docosahexaenoic Acid therapy of experimental ischemic stroke. Translational stroke research. 2011; 2(1): 33-41.