ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองทำไมต้องทาน ยาลดความดัน
ความดันโลหิตสูง จะพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ แต่ไม่ได้แปลว่า ผู้สูงอายุทุกคนต้องมีความดันโลหิตสูง คนที่อ้วน มีไขมันในเลือดสูง หรือสูบบุหรี่ มีโอกาสมีความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง จำเป็นต้องได้รับ ยาลดความดัน โลหิต มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาร้ายแรงตามมา
ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยให้เกิดเส้นเลือดหัวใจอุดตัน เส้นเลือดสมองตีบหรือแตก ไตวายเฉียบพลัน หรือเรื้อรังได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเตือนของความดันโลหิตสูงผิดปกติเช่น ปวดศีรษะ มึนศีรษะ แต่บางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ แสดงให้เห็นจึงไม่ได้รับการรักษาจนทำให้เกิดผลแทรกซ้อนของภาวะความดันโลหิตสูงเช่น แขนขาอ่อนแรง ปากเบี้ยว เจ็บแน่นหน้าอก หมดสติ ซึ่งก่อให้เกิดความทุพพลภาพ จึงจำเป็นที่ต้องทานยาควบคุมความดันโลหิตอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาระดับความดันโลหิตเฉลี่ยให้ต่ำกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท ยกเว้นผู้ที่อายุมากหรือมีโรคไตเรื้อรังอาจตั้งเป้าหมายต่ำกว่า 140/85 มิลลิเมตรปรอทได้
- กลุ่มยารักษาโรค “ความดันโลหิตสูง”
- กลุ่มยาขับปัสสาวะได้แก่ ยาไฮโดรคลอโรธัยอาไซด์ (hydrochlorothiazide) ยาฟูโรซีมายด์ (furosemide) ยาอะมิโลรายด์ (amiloride) เป็นต้น โดยยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยการขับเกลือออกจากร่างกาย ทำให้ปัสสาวะบ่อย ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้คือ อาจจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ ระดับโปแตสเซียมในเลือดผิดปกติ ระดับไขมันในเลือดสูง
- กลุ่มยาปิดกั้นการไหลของแคลเซียมเข้าสู่เซลล์ได้แก่ ยาไนเฟดิปีน (nifedipine) ยาแอมโลดิปีน (amlodipine) เป็นต้น จากการปิดกั้นการไหลของแคลเซียมเข้าสู่เซลล์นี้เอง จะเป็นผลให้กล้ามเนื้อที่หลอดเลือดคลายตัวและนำไปสู่การขยายตัวของหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตลดลงตามมา โดยยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงได้แก่ ใจสั่น ปวดศีรษะ ข้อเท้าบวม ท้องผูก
- กลุ่มยายับยั้งการสร้างแอนจิโอแทนซิน เรียกย่อๆ ว่ากลุ่มยาเอซีอีไอ (ACEI) ซึ่งย่อมาจาก angiotensin converting enzyme ได้แก่ ยาอินาลาพริล (enalapril) ยาแคปโตพริล (captopril) ยาไลสิโนพริล (lisinopril) เป็นต้น โดยยาจะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่สร้างแอนจิโอแทนซิน (angiotensin) ซึ่งมีผลทำให้หลอดเลือดหดตัว ดังนั้นเมื่อไม่มีแอนจิโอแทนซิน การหดตัวของหลอดเลือดจึงเกิดน้อยลง ทำให้ความดันโลหิตลดลงได้ ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ได้แก่ ไอแห้งๆ เกิดภาวะโปแตสเซียมในเลือดสูง
- กลุ่มยาขัดขวางการจับตัวรับแอนจิโอแทนซิน เรียกย่อๆ ว่ากลุ่มยาเออาบี (#ARB) ซึ่งย่อมาจาก angiotensin receptor blocker ได้แก่ ยาลอซาร์แทน (losartan) ยาเออบิซาร์แทน (irbesartan) ยาวาลซาร์แทน (valsartan) ยาแคนดิซาร์แทน (candesartan) เป็นต้น ผลของการขัดขวางไม่ให้แอนจิโอแทนซินจับกับตัวรับนี้จะทำให้หลอดเลือดขยายตัว ความดันโลหิตจึงลดลง
- กลุ่มยาปิดกั้นเบต้า ยาจะปิดกั้นระบบประสาทอัตโนมัติ ได้แก่ ยาอะทีโนลอล (atenolol) ยาโปรปราโนลอล (propranolol) ยาเมโตโปรลอล (metoprolol) เป็นต้น ทำให้หัวใจเต้นช้าลง ชีพจรช้าลง แล้วเกิดความดันโลหิตลดลงตามมา ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ ที่พบบ่อยได้แก่ อาการอ่อนเพลียซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงแรกที่รับประทานยาแต่อาการจะลดลงเมื่อรับประทานยาอย่างต่อเนื่องประมาณ 1-2 สัปดาห์ ยากลุ่มนี้ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืด หรือเป็นโรคถุงลมโป่งพอง เพราะอาจทำให้อาการของโรคปอดดังกล่าวกำเริบได้ง่ายขึ้น
- กลุ่มยาปิดกั้นแอลฟ่า ได้แก่ ยาปราโซสิน (prazosin) ยาด๊อกซาโสซิน (doxasozin) เป็นต้น ยากลุ่มนี้จะปิดกั้นระบบประสาทอัตโนมัติที่กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดขยายตัว และเป็นผลให้ความดันโลหิตลดลงผลข้างเคียงที่พบบ่อยของยากลุ่มนี้คือ ความดันต่ำเวลาเปลี่ยนท่าซึ่งอาจทำให้เกิดอาการหน้ามืดได้ ดังนั้นผู้ป่วยที่ใช้ยานี้ควรระมัดระวังการเปลี่ยนอิริยาบถอย่างทันทีทันใด อาการข้างเคียงอื่นๆ ที่อาจพบได้แก่ ปวดศีรษะ ใจสั่น อ่อนแรง
- กลุ่มยาขยายเส้นเลือดแดง ได้แก่ ยาไฮดราลาซีน (hydralazine) ยาไมนอกซีดิล (minoxidil) เป็นต้น ยามีฤทธิ์ขยายเส้นเลือดโดยตรง ทำให้ความดันโลหิตลดลงผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ ได้แก่ หน้าแดง ใจสั่น ปวดหัว เป็นต้น
ยาลดความดัน โลหิตที่ใช้กันบ่อย คือ ยาเอซีอีอินฮิบิเตอร์ (ACE inhibitors) ยานี้มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์แองจิโอเทนซินคอนเวอร์ติ้ง (angiotensin converting enzymes) ผู้ป่วยบางรายใช้ยารักษาโรคความดันโลหิตสูงเพียงชนิดเดียว ก็ลดความดันโลหิตได้ดี และสามารถควบคุมให้มีค่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจได้ แต่ผู้ป่วยบางรายต้องใช้ยา 2 ชนิด หรือมากกว่านั้น
การทาน ยาลดความดัน ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเพื่อควบคุมความดันไม่ให้สูงจนเกินไปและข้อสำคัญในการใช้ยารักษาโรคความดันโลหิตสูงให้ได้ผลดี ก็คือ จะต้องรับประทานยาต่อเนื่องกันทุกวันและรับประทานยาตรงเวลา หากลืมรับประทานยาและนึกขึ้นได้เมื่อใกล้จะรับประทานยามื้อต่อไป ให้รับประทานยาของมื้อนั้นก็พอ และห้ามรับประทานยาเพิ่มเป็น 2 เท่า มิฉะนั้นความดันโลหิตจะลดต่ำลงอย่างมาก เกิดอาการหน้ามืด ล้มลง หมดสติ เป็นอันตรายได้ และหากหยุดยาลดความดันเองโดยที่ไม่ปรึกษาแพทย์ อาจจะทำให้ความดันสูงมากจนอาจเกิดโรคหลอดเลือดสมองซ้ำอีก
แหล่งอ้างอิง
รองศาสตราจารย์ ดร. ภ.ญ. บุษบา จินดาวิจักษณ์ ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล. บทความการใช้ยาลดความดัน. มหาวิทยาลัยมหิดล. 2554.