โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจาก ไขสันหลัง (Spinal Muscular Atrophy)
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจาก ไขสันหลัง เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของยีน SMN1 (Survival Motor Neuron 1) ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการสร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อการอยู่รอดของเซลล์ประสาทสั่งการใน ไขสันหลัง เมื่อเซลล์ประสาทเหล่านี้เสื่อมลงหรือเสียหาย จะส่งผลให้กล้ามเนื้อของผู้ป่วยอ่อนแรงลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคลื่อนไหว การหายใจ และการกลืน ซึ่งวันนี้ทาง ReBRAIN จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับ Spinal Muscular Atrophy
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจาก ไขสันหลัง (SMA) เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากการกลายพันธุ์ในยีนSMN1 ซึ่งเป็นยีนที่มีบทบาทสำคัญในการผลิตโปรตีน SMN ที่จำเป็นต่อการอยู่รอดของเซลล์ประสาทสั่งการในไขสันหลัง เมื่อโปรตีนนี้ขาดหายไป เซลล์ประสาทเหล่านี้จะเสื่อมสภาพและตายไป ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและฝ่อในที่สุด โรคนี้เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบยีนด้อย (autosomal recessive) ซึ่งหมายความว่าผู้ป่วยต้องได้รับยีนที่กลายพันธุ์จากทั้งสองฝ่ายของพ่อแม่
SMA แบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลักตามอายุที่เริ่มแสดงอาการและความรุนแรงของโรค
- Type 0: เริ่มแสดงอาการในครรภ์ มักมีอาการหายใจลำบากและเสียชีวิตภายในไม่กี่สัปดาห์หลังคลอด
- Type 1: เริ่มแสดงอาการก่อนอายุ 6 เดือน เด็กไม่สามารถนั่งหรือยืนได้ และมักเสียชีวิตจากภาวะหายใจล้มเหลวภายใน 2 ปี
- Type 2: เริ่มแสดงอาการระหว่างอายุ 6–18 เดือน เด็กสามารถนั่งได้ แต่ไม่สามารถยืนหรือเดินได้
- Type 3: เริ่มแสดงอาการหลังอายุ 18 เดือน เด็กสามารถยืนและเดินได้ แต่มีความอ่อนแรงของกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นตามอายุ
- Type 4: เริ่มแสดงอาการในวัยผู้ใหญ่ มักมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อเล็กน้อยและมีอายุขัยปกติ
การวินิจฉัย SMA มักทำผ่านการตรวจทางพันธุกรรมเพื่อหาการกลายพันธุ์ในยีน SMN1 ซึ่งเป็นวิธีที่แม่นยำที่สุดในการยืนยันการวินิจฉัย
การรักษา
- Nusinersen (Spinraza): เป็นการฉีดเข้าทางไขสันหลังเพื่อเพิ่มการผลิตโปรตีน SMN
- Onasemnogene abeparvovec (Zolgensma): ให้ยาผ่านหลอดเลือดดำเพียงครั้งเดียวเพื่อเพิ่มการผลิตโปรตีน SMN
- Risdiplam (Evrysdi): เป็นยาที่รับประทานได้ โดยการปรับปรุงการสลับของยีน SMN2 เพื่อเพิ่มการผลิตโปรตีน SMN
Spinal Muscular Atrophy เป็นโรคพันธุกรรมที่ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงจากการเสื่อมของเซลล์ประสาทสั่งการในไขสันหลัง ปัจจุบันสามารถวินิจฉัยและรักษาได้ดีขึ้นด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ ซึ่งช่วยลดความรุนแรงของโรคและยืดอายุของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกคนควรมีความรู้ในเรื่อง สาเหตุ อาการ และการรักษา เพื่อใช้เป็นความรู้บอกต่อในด้านแนวทางการรักษาได้
เอกสารอ้างอิง
- Antonaci, F., et al. (2023). “Innovating spinal muscular atrophy models in the therapeutic era.” PubMed Central.
2.Baranello, G., et al. (2021). “Diving into progress: a review on current therapeutic advancements in spinal muscular atrophy.” PubMed Central.
3.Finkel, R. S., et al. (2017). “Spinal Muscular Atrophy: Clinical Management and Research Challenges.” PubMed Central.