โรคไขสันหลังอักเสบ (Myelitis)
โรค ไขสันหลังอักเสบ เป็นภาวะอย่างหนึ่งที่พบได้ แต่ไม่บ่อยนัก และมักเป็นชื่อที่ไม่ค่อยคุ้นหู อย่างไรก็ตาม เมื่อพบอาการดังกล่าว ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ อาจทำให้เกิดความพิการถาวร หรือถึงขั้นเสียชีวิตกันได้เลยทีเดียว วันนี้เราพามาทำความรู้จักโรคไขสันหลังอักเสบกันค่ะ
โรค ไขสันหลังอักเสบ เกิดจากอะไร
เชื่อว่าสาร Myelin เป็นเนื้อเยื่อไขมันชนิดหนึ่งมีลักษณะคล้ายฉนวนไฟฟ้า ทำหน้าที่ช่วยปกป้องใยประสาทและเซลล์ประสาท หากสาร Myelin บริเวณไขสันหลังถูกทำลายหรือได้รับความเสียหายอาจส่งผลต่อเซลล์ประสาทจนเกิดการอักเสบได้ ทั้งนี้ทางการแพทย์ยังไม่ทราบต้นตอของการเกิดไขสันหลังอักเสบอย่างแน่ชัด แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพดังต่อไปนี้
- การติดเชื้อไวรัสของระบบทางเดินหายใจหรือระบบทางเดินอาหารโดยส่วนใหญ่พบภายหลังการติดเชื้อหายดีแล้วประมาณ 1-2 สัปดาห์
- การติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น Mycoplasma pneumonia
- การติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ไวรัสตับอักเสบบี ไข้หวัดใหญ่ โรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน
- โรคปลอกประสาทเสื่อม (Multiple sclerosis)
- โรคความผิดปกติทางด้านภูมิคุ้มกันต้าน เช่น โรคออโตอิมมูน โรคต้านภูมิตนเอง
- โรคระบบภูมิคุ้มกันที่ก่อให้เกิดการอักเสบ เช่น โรคพุ่มพวงหรือโรคลูปัส (Lupus) กลุ่มอาการโจเกรน (Sjogren’s Syndrome) โรคซาร์คอยโดสิส (Sarcoidosis) หรือโรคที่ก่อให้เกิดการอักเสบตามอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย
- โรคติดเชื้ออื่นๆ เช่น พยาธิ
อาการผิดปกติที่พบในโรคไขสันหลัง
- อาการปวดตามจุดต่างๆของร่างกาย เช่น ปวดแปล๊บ อาการคล้ายอะไรทิ่มแทง อาการปวดร้าวจาก คอ ไหล่ หรือหลัง ไปที่แขน ขา หลัง หน้าอก ท้อง อวัยวะเพศ
- ความรู้สึกผิดปกติ เช่น อาการชา เย็น ร้อน ไฟไหม้ ตามแขน ขา หลัง หน้าอก ท้อง อวัยวะเพศ ไวต่อการสัมผัส
- อาการอ่อนแรงของแขน ขา เดินสะดุดเท้า เดินลากเท้าข้างใดข้างหนึ่ง หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงอาจส่งผลให้เป็นอัมพาตบริเวณขาบางส่วนหรือขาทั้งสองข้าง
- การขับถ่าย ปัสสาวะ อุจจาระลำบาก ไม่มีแรงเบ่ง หรือกลั้นไม่ได้
- ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ เช่น อวัยวะเพศไม่แข็งตัวในเพศชาย ช่องคลอดแห้งมาก ไม่มีน้ำหล่อลื่น เมื่อมีเพศสัมพันธ์ และไม่มีความรู้สึกทางเพศในผู้หญิง
การรักษาไขสันหลังอักเสบทำอย่างไร
การรักษาโรคไขสันหลังอักเสบ ประกอบด้วย
- การให้ยาสเตียรอยด์ขนาดสูงนานประมาณ 3-5 วันเพื่อเป็นการลดการอักเสบ
- ยาสเตียรอยด์ อาจฉีดเข้าสู่หลอดเลือดโดยตรงหรือให้รับประทานเป็นยาเม็ด เพื่อลดอาการอักเสบบริเวณกระดูกสันหลัง หากยาสเตียรอยด์ใช้ไม่ได้ผล ผู้ป่วยอาจต้องกรองพลาสมาในเลือด (Plasmapheresis) โดยเป็นการนำพลาสมาไม่ดีทิ้งไปแล้วนำเม็ดเลือดแดงที่ดีและสารน้ำทดแทนเข้าสู่ร่างกาย
- ยา Intravenous Immunoglobulin (IVIg) เป็นแอนติบอดีของผู้มีสุขภาพดีที่จะถูกฉีดเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย เพื่อกำจัดแอนติบอดีที่ก่อให้เกิดความผิดปกติต่าง ๆ
- ยาต้านไวรัส แพทย์อาจจ่ายยาในกลุ่มนี้ให้หากผู้ป่วยเป็นไขสันหลังจากการติดเชื้อไวรัส
- ยาแก้ปวด อาการปวดเรื้อรังอันเป็นอาการแทรกซ้อนมักบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดทั่วไปอย่างยาพาราเซตามอล ยาไอบูโพรเฟน หรือยานาพรอกเซน ส่วนอาการปวดเส้นประสาทอาจรักษาด้วยยาต้านเศร้าและยากันชักบางชนิด
- การทำกายภาพบำบัด เพื่อความแข็งแรงของกล้าม เนื้อ ลดการเกร็ง ข้อติด และปัญหาในการขับถ่าย
โรคไขสันหลังอักเสบมีภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง
อาการแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงจากโรคไขสันหลังอักเสบ คือ
- อาการปวดตามจุดต่างๆของร่างกาย
- อาการอ่อนแรงแขน ขา
- ความผิดปกติด้านเพศสัมพันธ์ เช่น อวัยวะเพศไม่แข็งตัว (ในผู้ชาย) ช่องคลอดแห้งไม่มีน้ำหล่อลื่น (ในเพศหญิง)
- กระดูกบาง จากยาสเตียรอยด์ และเคลื่อนไหวร่างกายลดลงจากอาการอ่อนแรง
- ติดเชื้อได้ง่าย จากการขับถ่ายปัสสาวะลำบาก
- แผลกดทับ จากร่างกายเคลื่อนไหวได้น้อยหรือเคลื่อนไหวไม่ได้ จากอาการอ่อนแรง
- มีอาการ ซึมเศร้า วิตกกังวล
การบำบัด
แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการบำบัดเพื่อฟื้นฟูและดูแลตัวเองในระยะยาว ดังนี้
- กายภาพบำบัด เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น ควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ได้ รวมถึงช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้การใช้ไม้เท้า วีลแชร์ เครื่องพยุงหลัง หรืออุปกรณ์พยุงร่างกายอื่น ๆ อย่างถูกวิธี
- กิจกรรมบำบัด จะส่งเสริมให้ผู้ป่วยเรียนรู้การทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ เช่น การแต่งตัว การทำอาหาร การอาบน้ำ หรือการทำความสะอาดบ้าน
- จิตบำบัด เป็นการพูดคุยเพื่อรักษาอาการวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ รวมถึงปัญหาด้านอารมณ์และพฤติกรรมจากการอยู่ร่วมกับโรคนี้
อย่างไรก็ตามผู้ป่วยไขสันหลังอักเสบ Myelitis ส่วนใหญ่มักดีขึ้นบางส่วนภายใน 3 เดือนแรก แต่บางคนอาจใช้เวลานานถึง 2 ปีหรือมากกว่านั้น ซึ่งในกรณีนี้ผู้ป่วยอาจจะไม่หายดีเป็นปกติ โดยจะมีปัญหาในการเดิน ชาหรือรู้สึกเหมือนโดนของแหลมทิ่ม กระเพาะปัสสาวะและลำไส้มีปัญหา หรืออาจเป็นอัมพาตตลอดชีวิตในผู้ป่วยบางราย ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรคและวิธีการรักษาในช่วงแรก ๆ สำหรับการดูแลตัวเองของผู้ป่วย เมื่อพบว่าตนเองเป็นโรคไขสันหลังอักเสบ คือการหมั่นกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง ฝึกการขับถ่ายด้วยตัวเอง ทานผักและผลไม้ให้เพียงพอต่อวันเพื่อป้องกันอาการท้องผูก ทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ให้ถูกต้องป้องกันการติดเชื้อบริเวณระบบทางเดินปัสสาวะ หากมีอาการรุนแรงเกิดขึ้น อย่างอาการอ่อนแรงมีไข้สูง ปัสสาวะไม่ออก ก็ควรรีบเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์โดยด่วน เพราะผู้ป่วยที่หายแล้ว สามารถที่จะกลับมาเป็นโรคนี้ซ้ำได้อีก
อ้างอิง