
สโตรก (Stroke) หรือที่คนทั่วไปเรียกว่าภาวะสมองขาดเลือด เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้ป่วยอย่างรุนแรง และเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและทุพพลภาพทั่วโลก การทำความเข้าใจประเภทของสโตรกถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการรักษาและแนวทางการฟื้นฟูผู้ป่วยstroke แต่ละชนิดนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บทความนี้จะช่วยไขข้อข้องใจและชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างสโตรกชนิดที่พบบ่อยที่สุดสองชนิด คือ “หลอดเลือดสมองตีบ” และ “หลอดเลือดสมองแตก”
สโตรกมี 3 ชนิดหลัก: รู้จักสาเหตุหลักของการเกิดโรค
โดยพื้นฐานแล้ว ภาวะสโตรกเกิดขึ้นเมื่อการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองถูกขัดขวาง ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจนและสารอาหาร นำไปสู่ความเสียหายของสมองอย่างรวดเร็ว สโตรกแบ่งออกเป็น 3 ชนิดหลัก ดังนี้:
1. หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (IschemicStroke)
เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด คิดเป็นประมาณ 87% ของผู้ป่วยสโตรกทั้งหมด
สาเหตุหลักเกิดจากหลอดเลือดสมองตีบแคบลงจากภาวะหลอดเลือดแข็งตัว (Atherosclerosis) หรือเกิดจากการอุดตันโดยลิ่มเลือด (Thrombus) ที่ก่อตัวขึ้นในหลอดเลือดสมอง หรือเกิดจากลิ่มเลือดที่หลุดมาจากส่วนอื่นของร่างกาย (Embolus) แล้วไปอุดตันหลอดเลือดที่เล็กกว่าในสมอง
2. หลอดเลือดสมองแตก (HemorrhagicStroke)
เป็นชนิดที่ร้ายแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่า สาเหตุเกิดจากหลอดเลือดสมองแตก หรือฉีกขาด ทำให้มีเลือดไหลทะลักออกมาท่วมเนื้อเยื่อสมองโดยรอบ เลือดที่ออกจะไปเพิ่มแรงดันในกะโหลกศีรษะและทำลายเซลล์สมอง การเกิดภาวะนี้มักเกี่ยวข้องกับภาวะความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการควบคุม หรือความผิดปกติของหลอดเลือดแต่กำเนิด เช่น ภาวะหลอดเลือดโป่งพอง (Aneurysm)
3. ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (Transient Ischemic Attack – TIA)
มักเรียกว่า “Mini-Stroke” เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดสมองชั่วคราวเท่านั้น อาการมักหายไปเองภายในไม่กี่นาทีถึง 24 ชั่วโมง แม้ว่าอาการจะหายไปเอง แต่ TIA ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดสโตรกชนิดรุนแรงตามมาในอนาคต
หลอดเลือดสมองตีบ vs หลอดเลือดสมองแตก: แตกต่างกันอย่างไร?
ความแตกต่างระหว่างสโตรกทั้งสองชนิดมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาในระยะเฉียบพลัน (Golden Hour)
| ลักษณะการเปรียบเทียบ | หลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic Stroke) | หลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) |
| สาเหตุหลัก | ลิ่มเลือดอุดตันหรือตีบตัน | หลอดเลือดฉีกขาด/แตก |
| ความรุนแรง | พบมากที่สุด, มักมีอาการค่อยเป็นค่อยไป | รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตมากกว่า |
| อาการนำ | มักมีอาการอ่อนแรงทันที, ชาครึ่งซีก, พูดไม่ชัด | มักมีอาการปวดศีรษะรุนแรงเฉียบพลัน (“ปวดที่สุดในชีวิต”), คลื่นไส้/อาเจียน |
| แนวทางการรักษาเฉียบพลัน | ให้ยาละลายลิ่มเลือด (Thrombolysis) หรือการใช้สายสวนเพื่อดึงลิ่มเลือดออก | ควบคุมความดันโลหิต, ลดความดันในกะโหลกศีรษะ, อาจต้องผ่าตัดเพื่อระบายเลือด |
| ปัจจัยเสี่ยงหลัก | เบาหวาน, ไขมันในเลือดสูง, ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ | ความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการควบคุม |
ความท้าทายในการฟื้นฟูผู้ป่วยสโตรก (Rehabilitation)
ไม่ว่าจะเป็นสโตรกชนิดใด เมื่อผ่านพ้นระยะวิกฤตแล้วการฟื้นฟูผู้ป่วยstrokeถือเป็นก้าวสำคัญที่สุดในการช่วยให้ผู้ป่วยสโตรกกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด การฟื้นฟูมักมุ่งเน้นไปที่:
- การฝึกกายภาพบำบัด: เพื่อฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การทรงตัว และการเคลื่อนไหวของแขนขาที่อ่อนแรง
- การฝึกกิจกรรมบำบัด: เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การแต่งตัว การรับประทานอาหาร และการดูแลตนเอง
- การฝึกอรรถบำบัด: สำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านการพูด การสื่อสาร หรือการกลืน
การฟื้นฟูต้องใช้ความสม่ำเสมอ ความอดทน และโปรแกรมเฉพาะบุคคลที่ปรับให้เข้ากับระดับความเสียหายของสมองในแต่ละราย
ReBRAIN ทีมกายภาพบำบัดและศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยStrokeเฉพาะทาง
หากคุณกำลังมองหาศูนย์ฟื้นฟูโรคหลอดเลือดสมองที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ReBRAIN คือคำตอบ เรามีทีมกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด และสหวิชาชีพที่เข้าใจการทำงานของสมองและออกแบบโปรแกรมฟื้นฟูที่เข้มข้นและตรงจุดสำหรับผู้ป่วยสโตรกทุกราย ด้วยเครื่องมือและเทคนิคที่ทันสมัย เราพร้อมช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาเคลื่อนไหวและใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพอีกครั้ง