อาการปวดไหล่ (Shoulder pain) เป็นภาวะแทรกซ้อนอย่างหนึ่งที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจากการที่สมองสูญเสียการสั่งการ ทำให้เกิดการควบคุมการทำงานของร่างกายอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่งไป นำไปสู่การเกิดข้อไหล่เคลื่อนหลุด (Shoulder sublaxation) ได้มากพบมากเป็นอันดับ2 ประมาณ80% ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง

อาการปวดไหล่ (Shoulder pain) และ ข้อไหล่เคลื่อนหลุด (Shoulder sublaxation) เป็นอาการที่สอดคล้องและเกิดต่อเนื่องกัน พบได้มากในช่วงแรกของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองซึ่งเป็นช่วงที่กล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก (Flaccidity) ความตึงตัวของกล้ามเนื้อลดลง (Hypotone) ผู้ป่วยจะมีการเคลื่อนไหวของแขนลดลง เมื่อมีการเคลื่อนไหวของแขนไม่ถูกวิธีจะทำให้เอ็นกล้ามเนื้อ เยื่อหุ้มข้อไหล่ถูกดึงยืดทั้งจากแรงภายนอกและแรงโน้มถ่วงของโลก ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดไหล่ได้ง่ายและอาจนำไปสู่การเกิดภาวะข้อไหล่เคลื่อนหลุด (Shoulder sublaxation) จากความตึงตัวของกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสะบักลดลง ทำให้ไม่สามารถพยุกกระดูกต้นแขน (Humerus bone) ให้อยู่ในเบ้าของกระดูกสะบัก (Glenoid fossa) ผู้ป่วยจึงอาจจะมีอาการ ปวดข้อไหล่ตลอดเวลาแม้ในขณะพัก
การป้องกันการเกิดอาการปวดไหล่หรือการเกิดข้อไหล่เลื่อนหลุด

1.การจัดท่ามีความสำคัญมากเพราะช่วยลดความเสี่ยงการปวดไหล่ การเกิดข้อไหล่เคลื่อนหลุดเช่น การนอนหงายไม่ควรให้แขนผู้ป่วยอยู่ในลักษณะงอและบิดเข้าด้านใน ควรจัดให้แขนอยู่ในลักษณะหงายมือ แขนเหยียดตรงหมอนรองสะบักถึงแขน, ท่านอนตะแคงไม่ควรจัดท่าให้ผู้ป่วยนอนทับแขนข้างที่อ่อนแรง และไม่ควรให้แขนไหลตกตามแรงโน้มถ่วงของโลก ควรหนีบหมอนแขนเหยียดตรง, ท่านั่งไม่ควรปล่อยแขนตกตามแรงโน้มถ่วงของโลก ให้นำหมอนรองแขนทุกครั้ง อาจใช้อุปกรณ์พยุงแขนร่วมด้วย
2.การใส่อุปกรณ์พยุงแขน หรือ Arm sling / Bobath sling
ควรใส่อุปกรณ์พยุงทุกครั้งเมื่อนั่งยืนเดินเพื่อไม่ให้แขนตกตามแรงโน้มถ่วงของโลก สามารถช่วยลดอาการปวดได้ ถ้าผู้ป่วยstrokeใส่ที่พยุงแขนตั้งแต่ช่วงแรกจะช่วงลดการเกิดsubluxation
3.การออกกำลังกายข้อไหล่. จะช่วยกระตุ้นให้การสั่งการและการควบคุมการทำงานของแขนได้ กล้ามเนื้อแขนจะค่อยๆมีแรงและเริ่มใช้งานได้ โดยผู้ป่วยสามารถทำเองได้โดยใช้แขนข้างที่มีแรงช่วยยกแขนข้างที่อ่อนแรง ช่วยยกแขน กางแขน งอศอก กำมือ แบมือ หรือญาติสามารถช่วยออกกำลังกายให้ผู้ป่วยได้ แต่ไม่ควรดึงแขน กระชากหรือแกว่งแขนแรงๆ เมื่อแต่เมื่อมีอาการควรเจ็บให้หยุดพักและรีบปรึกษานักกายภาพบำบัดทันที
การรักษาทางกายภาพบำบัด

- ฟื้นฟูการทำงานของสมองและกล้ามเนื้อ โดยกระตุ้นกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่ เช่น การยืดกล้ามเนื้อส่วนที่เกร็งตัว การกระตุ้นกล้ามเนื้อฝั่งตรงข้าม การกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อโดยการรับรู้ตำแหน่งและการเคลื่อนไหว 2. การออกกำลังกายกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่
3. อุปกรณ์กายภาพบำบัด เช่น กระตุ้นไฟฟ้า
4. การใส่อุปกรณ์ช่วยพยุง
5. การประคบร้อน-เย็น
6. การให้ความรู้ความเข้าใจในการเกิดภาวะข้อไหล่เคลื่อนหลุด, การรักษาฟื้นฟูทางกายภาพบำบัดและการรักษาอื่นๆ
การรักษาทางกายภาพบำบัด จึงมีความจำเป็นหลักและสำคัญอย่างยิ่ง ในการรักษาฟื้นฟูในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองทั้งการได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง การป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน การแก้ไขความผิดปกติของการเคลื่อนไหว การกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ รวมไปถึงการลดอาการเจ็บปวดต่างๆได้ นอกจากการรักษาทางกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลแล้ว การได้กลับมารับ การรักษาทางกายภาพบำบัดที่บ้านยังเป็นอีกหนึ่งการรักษาต่อเนื่องที่ไม่ควรมองข้ามในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
เอกสารอ้างอิง
บทความฟื้นฟูวิชาการ Common Problems of Upper Extremity in Stroke Patients ของวารสาร เวชศาสตร์ฟื้นฟูสาร ปีที่ 12 ฉบับที่ 2 ปีค.ศ. 2015
การใส่Arm sling ในผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกเพื่อป้องกันข้อไหล่เคลื่อนเปรียบเทียบระหว่างการใส่ทันทีกับการใส่ภายหลัง สายฝน ทศภาทินรัตน์ วท.บ.(กิจกรรมบำบัด) และคณะ กลุ่มงานเวชศาสตร์ฟื้นฟูโรงพยาบาลประสาทเชียงใหม่
บทความพิเศษ การป้องกันและรักษาอาการปวดไหล่ในผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกทางกายภาพบำบัด กนกวรรณ ศรีสุภรกรกุล และคณะ Chula Med J 2008